วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

สปอยจัดหนัก!!แบบไม่กั๊กซักมิลล์!! (It gets better ไม่ได้ขอให้มารัก)


เมื่อวานมีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องนึงมาที่โรงประจำ ณ ขณะนี้ก็คือ เมเจอร์ซีนีเพล็ก เชียงใหม่ ซึ่งรวมๆแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่เชียงใหม่ก็หมดค่าดูหนังไปเกือบๆพันแล้ว (หรือถ้ารวมค่าป็อปคอนและน้ำก็เกินไปเรียบร้อย -*-) สนุกบ้างไม่สนุกบ้างสลับกันไป แต่มีไม่กี่เรื่องหรอกนะคะที่ดูแล้วมันติดอยู่ในใจจนคันไม้คันมืออยากจะระบายออกมาเป็นตัวอักษร (ไม่บ่อยจริงๆนะ) เอาล่ะค่ะ หลังจากบ่นเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ เรามาพูดถึงหนังกันบ้างดีกว่า อ๊ะ!! แต่บอกไว้ตรงนี้ก่อนนะคะว่าตั้งแต่ย่อหน้าถัดไป เราจะสปอยกันแบบเปิดเผยไม่ปิดบัง ใครที่ยังไม่ได้เสียเงินเข้าโรงไปดูก็โปรดระวังสายตาตัวเองเอาไว้ให้ดี กดปิดหน้านี้ไปยังทันนะคะ ^ ^

"It gets better" หรือชื่อในภาษาไทยว่า "ไม่ได้ขอให้มารัก" เป็นหนังที่หยิบประเด็นในเรื่องของเพศที่สาม มาเป็นฐานในการดำเนินเรื่อง จากตัวอย่างภาพยนต์นั้น ก็อาจจะบอกกับผู้ชมได้ชัดเจนอยู่แล้วในระดับหนึ่งว่า หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และใครเป็นคู่ใคร...เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น...
จากตัวอย่างเราจะเห็นถึงคู่ที่ถูกวางมาสามคู่ด้วยกัน คู่แรก:สายธาร กระเทยแปลงเพศรุ่นปลดระวางที่พาตัวเองเดินทางไปยังชนบทห่างไกลทางภาคเหนือโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง ระหว่างนั้นเธอก็ได้รู้จักกับไฟ เด็กหนุ่มติดดินที่ทำทุกเรื่องเสมือนว่าง่ายและเขาก็เข้าใจมันไปซะหมด คู่ที่สอง:ต้นไม้ ชายหนุ่มหัวนอกจากอเมริกาผู้เดินทางกลับมาเพื่อปิดบาร์กระเทย มรดกจากพ่อผู้ล่วงลับและหวังจะเดินทางกลับไปง่ายๆพร้อมเงินจากการขายบาร์นี้ แต่กลับถูกต้นหลิว กระเทยสาวหล่อ(?) ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถของบาร์สอนชีวิตในอีกด้านหนึ่งให้เขาได้รู้จัก คู่ที่สาม:ดิน เด็กหนุ่มที่ถูกพ่อพาไปบวช ด้วยหวังว่าร่มกาสาวพัสตร์จะช่วยทำให้ความเป็นหญิงในจิตใจของลูกชายเสื่อมคลายลง แต่กลับตรงข้าม พระพี่เลี้ยงที่ดินได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยกลับทำให้จิตใจของเขายิ่งสั่นคลอน ภายใต้ผ้าเหลืองที่เขาต้องรักษากิริยาและวาจาไว้ให้มั่น...

จากนี้เราจะมาเล่าถึงแต่ละคู่ รวมทั้งใส่แนวคิดของผู้เขียนสอดแทรกลงในเนื้อความด้วยอีกต่อหนึ่ง

คู่ดินและพระพี่เลี้ยง:ตอนแรกผู้เขียนแอบออกจะรำคาญบทตัวดินไปสักหน่อย ด้วยพอเห็นการกระทำแล้วมักจะหลุดคำพูดประเภท "อินี่.." "สลิด.." "แร_" ออกมาตลอด แต่พอดูไปดูมาก็เริ่มเข้าใจว่า ดิน เป็นตัวสะท้อนของวัยรุ่นเพศนี้ทั่วๆไปที่ยังไม่รู้จักถึงการวางตัวที่เหมาะสม คิดอะไรก็พูด อยากอะไรก็ทำ เช่นตอนที่ดินตักกับข้าวให้หลวงพี่กลางวงฉันท์ข้าว ทำเอาญาติโยมหัวร่อซุบซิบกันทั่วศาลา จนพระพี่เลี้ยงต้องเตือนว่าไม่ควรทำ มันไม่เหมาะ แต่ดินเองก็เถียงกลับมาว่า เพราะอะไรตนถึงทำไม่ได้ ทีเวลาอยู่กับพ่อตนกินอะไรอร่อยๆก็ตักให้พ่อตลอด ตรงนี้ผู้เขียนเองก็เกิดความคิดว่า ไอ้การตักกับข้าวให้กับคนที่เรารักหรือญาติผู้ใหญ่ มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดจริงๆ แต่พอมาเป็นภิกษุ การสำรวมวาจาและกิริยาจึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ใครที่หวังจะมาตักตวงฉากประเภทผิดศีลธรรมจากตอนนี้ ขอบอกว่าไม่มีให้ดูหรอกค่ะ ตัวละครทั้งสองต่างรักษาหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี (แม้ดินจะชอบผิดกฎมุดไปนอนมุ้งเดียวกับหลวงพี่บ่อยๆ) ในตอนนี้สื่อให้เห็นถึงความกดดันในตัวละครค่ะ อันที่จริงดูแล้วดินก็ไม่ได้จะรักใคร่อะไรในตัวหลวงพี่มากมาย แต่เพียงเหมือนกับว่าหาที่พึ่งพิงทางจิตใจในขณะที่ต้องห่างพ่อ ส่วนตัวหลวงพี่เองจากการสื่อของหนังก็น่าจะมีเหตุผลเเบบเดียวกับดินจึงตัดสินใจมาบวช (ก็คือรักชอบในเพศเดียวกัน พอดินมุดมุ้งมานอนข้างๆบ่อยๆ ศีลที่รักษามาตลอดมันก็เลยสั่นไหวจนจิตใจไม่สงบ) ประโยคเด็ดของตอนนี้คือสิ่งที่หลวงพี่พูดค่ะ "คนเราบางทีก็ต้องยอมหักห้ามใจทำในสิ่งที่คนอื่นหวัง แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ขัดกับใจเรา ถ้าหากสิ่งนั้นทำให้คนที่เรารักสบายใจ" นั่นคือความจริงค่ะ และคงเป็นเหตุผลที่เกย์เพิ่มมากขึ้นในสังคมเรื่อยๆ เพราะการเปิดเผยตัวแบบเต็มรูปแบบเป็นอะไรที่คนเหล่านี้กลัวว่าจะไปทำให้คนที่รักเสียใจนั่นเอง(ล่ะมั้ง) และถึงดินจะเป็นเณรที่ออกจะผิดร่องผิดรอยไปหน่อย แต่สิ่งที่ดินมีอยู่เต็มหัวใจนั่นก็คือความรักที่มีให้พ่อนั่นเอง...

คู่สายธารและไฟ:สายธารเป็นตัวสะท้อนภาพของกระเทยวัยกลางคนที่เจนจัดกับชีวิตมามาก ความกังวลกับริ้วรอยและความสวยของตัวเองเป็นเรื่องหลัก ทั้งการแต่งตัวและความมั่นใจยังได้รับรูปแบบมาจากสังคมเมืองเต็มๆ การที่เธอพาตัวเองมาเฉิดฉายอยู่ ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้ความเจรฺิญเช่นนี้ เธอจึงกลายเป็น "object" ที่ขัดกับ "background" อย่างชัดเจน และความเด่นและทำตัวผิดปกติของเธอทำให้ไฟได้เข้ามาในชีวิต สายธารกับไฟมีความสัมพันธ์กันโดยที่ไฟเองก็รับรู้ว่าเธอเคยเป็นผู้ชาย ปั้นจั่นที่รับบทนี้แสดงความเป็นไฟออกมาได้ดีทีเดียว ผู้ชายติดดินที่มีนิสัยหยาบๆ แต่ก็แฝงด้วยความมีน้ำใจ ความอบอุ่น และความสุภาพไว้อย่างล้นเอ่อ...ไม่ใช่แค่เปลือกนอกอย่างที่ผู้ชายบางคนพยายามจะเป็น เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและแฝงความจริงไว้พอสมควร และสอนให้คนดูรู้ว่า บางทีความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์อาจไม่ใช่เงินทองหรือเซ็กส์...แต่มันคือความเข้าใจและใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างมากกว่า...

คู่ต้นไม้และต้นหลิว:ต้นไม้เป็นชายหนุ่มหัวนอกเต็มตัวที่กลับมาไทยเพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ ปิดบาร์กระเทยที่เป็นมรดกจากพ่อที่เสียไปแล้วเดินทางกลับประเทศ ต้นไม้ก็เหมือนผู้ชายแท้ทั่วๆไปที่ชอบผู้หญิง และสิ่งสวยงาม ในตอนที่มาถึงเขาจึงมีท่าทีที่ม่อยากจะสุงสิงกับเหล่าบรรดาน้าๆสาวประเภทสองในบาร์ของพ่อนัก คงจะมีก็แต่ ต้นหลิว กระเทยที่มีท่าทีเป็นทอม(?) ซึ่งติดจะนิสัยออกห้าวๆที่เขาสามารถคุยเรื่องต่างๆได้ อย่างรู้สึกว่าเป็นเพื่อน แต่ที่จริงแล้วต้นหลิวเองก็แอบให้ความรู้สึกดีๆกับต้นไม้อยู่โดยที่ต้นไม้ไม่รู้ ต้นไม้ออกจะมีนิสัยเป็นผู้ชายที่โลเลและการตัดสินใจไม่มั่นคงอยู่สัักหน่อย และยังพร้อมจะเผลอใจให้กับของสวยๆงามๆได้เสมอ เช่นการที่เขาเกือบจะยอมลองคบหาดูใกล้ๆกับ ดอกไม้ กระเทยสาวสวยในบาร์ แต่ความเป็นชายก็ผลักออกมาจากจุดนั้นเสียก่อน นี่คงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ต้นหลิวเข้าใจผิดว่าต้นไม้ อาจจะยอมรับเธอในแบบที่เป็นเธอได้ คืนนั้นด้วยความเมาทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน โดยที่พอตื่นมาและต้นไม้พบว่ามีต้นหลิวนอนอยู่ข้างๆ แถมต้นหลิวยังคงมีสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นชายอยู่ ต้นไม้จึงสติแตกไล่ตะเพิดต้นหลิวออกจากห้องทันที ตรงนี้มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ เป็นฉากที่ต้นหลิวพูดกับต้นไม้ก่อนออกจากห้อง // ต้นหลิว:ลองหยิกตัวเองดู ต้นไม้:หยิกทำไม? ต้นหลิว:เออน่า ลองหยิกดู ต้นไม้:(หยิกตัวเอง) ต้นหลิว:เจ็บมั้ย? ต้นไม้:ถามได้!!ก็เจ็บดิ ต้นหลิว:เออ เราก็เจ็บ...// ฉากนี้แสดงให้เห็นชัดๆถึงความรู้สึกของต้นหลิวที่เพิ่งจะเข้าใจว่าคำว่า"รู้สึกดี"ตอนจูบที่ต้นไม้พูดกับเธอเมื่อคืน...มันไม่ใช่ความรู้สึกดีที่ออกมาจากใจจริงๆ...ทั้งหมดเธอแค่คิดไปเอง สุดท้ายต้นไม้ก็เลือกที่จะขายบาร์ และยอมรับคำขอของผู้จัดการที่ขอให้เขาขึ้นไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย...นี่เองคือจุดพีคของเรื่อง ที่เรียกน้ำตาคนดู...รวมถึงเรียกเสียง"อ๋อ..อ้อ.."จากคนดูได้ดีทีเดียว เพราะรูปในกรอบที่ต้นไม้เห็นก็คือภาพของสายธาร...


เรื่องเฉลยว่า จริงๆแล้วช่วงชีวิตที่เห็นทั้งหมดคือการเดินทางผ่านเวลาของสายธารนั่นเอง เธอบวชให้พ่อในตอนเด็กและหายออกจากบ้านไปเมื่อแต่งงานในตอนโต แต่ก็ถูกภรรยาเห็นเข้าตอนที่กลายเป็นผู้หญิง สายธารให้ผู้เป็นภรรยาอุ้มท้องต้นไม้บินไปอยู่ที่อเมริกาโดยกำชับให้ปกปิดว่าเธอเป็นอะไร ขณะเดียวกันก็ส่งเสียเลี้ยงดูและติดตามความเป็นไปของต้นไม้โดยตลอด เพราะอย่างไรต้นไม้ก็คือ"ลูกที่เขารัก"นั่นเอง สายธารเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านเกิดเพื่อต้องการจะรู้ความเป็นอยู่ของพ่อ หรือที่ไฟเรียกว่าตาไม้...ตาแก่ที่เปิดร้านขายของชำเล็กๆโดยใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการนั่งมองดูภาพลูกชาย และภรรยาบนข้างฝาบ้าน ขึ้นชื่อว่าพ่อ...อย่างไรก็จำลูกได้ เพียงแต่ตาไม้ไม่ได้พูดออกมา เขารู้มาตลอดว่าสายธารกลับมาหา แต่ก็เพียงได้แค่เรียกชื่อและโอบร่างอ่อนระทวยของลูกไว้ในอ้อมแขนในวาระสุดท้ายของชีวิต...และในครั้งแรกหลังจากเนิ่นนานที่ได้เห็นหน้าลูก...หนังกำลังสอนว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ...ทุกอย่างไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบัง...บางทีการบอกรักคนที่เรารักทุกวัน อาจทำให้เราไม่ต้องเสียใจภายหลังเมื่อเสียเขาไปตลอดกาล

หนังเรื่องนี้เป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งที่ควรดู แต่ข้อเสียอาจอยู่ที่การลำดับภาพที่ไม่ได้เล่าทีละเรื่องอย่างที่ผู้เขียนทำ แต่จะใช้ศิลปะการกระโดดไปมาของภาพ ใช้ภาพความคิดที่ไม่ทราบว่าเป็นของใคร ใช้การซ้อนทับของอดีตหลอกลวงให้ผู้ชมหลงนึกว่ากำลังชมเรื่องของคนสามคู่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นหนังที่ไม่ได้เป็นอาหารสำเร็จรูป...แต่เป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป ที่คนดูต้องนำมาทำขั้นตอนต่อไปเองเพื่อให้ความคิดออกมาสมบูรณ์ ดังนั้นความคิดของแต่ละคนต่อหนังจึงอาจไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ที่ไม่นิยมเสพความวุ่นวายของระบบคิดสมอง...ผู้เขียนแนะนำว่าคงไม่เหมาะกับเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ถ้าอยากดูหนังที่ต้องใช้หัวคิดสักนิด แต่สนุกจนติดค้างอยู่ในใจ ก็แนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ "It gets better ไม่ได้ขอให้มารัก" หนังรักกลิ่นอายลาเวนเดอร์ที่พอดูจบแล้ว จะรู้สึก"ถึงไม่ได้ขอให้มารัก ก็จะรัก..." เลยล่ะค่ะ... ^ ^ 


ปล.แอบคอมเมนต์นิดนึงนะคะว่าอย่าโดนโปสเตอร์หนังหลอก เรื่องมันไม่ได้สดใสแบบที่โปสเตอร์สื่อ แถมดาราบางคนยังมีบทน้อยซะยิ่งกว่าตัวประกอบอีก ดูที่เรื่องเถอะค่ะ