วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

#สปอย# 100เปอร์ silent hill 2 (revelation 3D)

หลังจากนั่งรอกันมานานหกปีเต็มๆ!!! O-O (เจ้าของบล็อกเพิ่งเริ่มมาสนใจเอาปีสองปีนี้แต่ก็ รอจนเหงือกแห้งเหมือนกัน)
ที่สุดภาคต่อของภาพยนต์จากเกมส์ชื่อดัง"silent hill " ก็ออกมาเผยโฉมแสนอลังการ(?)ให้คอเกมส์ทั้งหลายได้หายคิดถึงซะที 
พอถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ปั๊บ...เจ้าของเพจก็ออกอาการกระวนกระวายคล้ายไข้จะขึ้น ทั้งๆที่งานรัดคอแทบหายใจไม่ออก แต่สุดท้ายก็ดิ้นรนจนได้ไปดูจนได้ เข้าโรงหนังช้าไปประมาณสิบห้านาที แต่ใครจะสน!!!บัดนี้ความฟินอยู่บนจอตรงหน้าข้าพเจ้าแล้ว ฮ่าาาาาาา ^ ^
ด้วยความที่อินดี้จัด กอปกับเพื่อนๆทุกคนมีรสนิยมแบบผู้หญิงธรรมดากันหมด(คือชอบดูหนังรัก หนังแฟนตาซีเป็นปกติ) เจ้าของเพจจึงมีอันต้องมาดูหนังคนเดียวข้างๆใครก็ไม่รู้...แต่อารมณ์ตอนนั้นฟินสุดๆ ไม่ได้สนใจอะไรเล้ยยยยย
เอาล่ะ...ใครไม่อยากเสียอารมณ์ก็ข้ามไปนะคะ ย่อหน้าต่อไปจะเริ่มสปอยกันแล้วววว

    หนังเริ่มที่ฝันร้ายของตัวนางเอกที่กำลังวิ่งหนีกลุ่มคนเข้าไปในสวนสนุก อุตส่าห์หนีไปหลบแต่ก็มีอันต้องวิ่งเข้ามาตกอยู่ในม้าหมุนที่ล้อมรอบด้วยไฟ มีพ่อหมวกพีระมิดเป็นพนักงานขับเคลื่อนโดยการหมุนๆๆๆๆ (หือ?) กับเหล่าผู้ตามล่าที่ค่อยๆโอบล้อมเธอไว้สำเร็จ ที่นั่นเธอได้พบกับ"เอลซซ่า"..."ตัวตนด้านมืด" ของเธอ เอลซซ่าทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่า "เธอไม่มีวันชนะชั้นได้หรอก อย่ากลับไปที่ silent hill" นางเอกสะดุ้งตื่น พ่อเข้ามาปลอบแต่ก็พูดอีกว่า "อย่าไปที่ silent hill" แล้วเธอก็สะดุ้งตื่นอีกครั้ง สรุปนางเอกฝันซ้อนฝัน 
     เธอลงมาข้างล่าง คุยกับพ่อ สรุปพอเข้าใจได้ว่า นางเอกกับพ่อเพิ่งย้ายบ้านมา โดยหนีคดีฆาตกรรมที่พ่อของเธอพยายามจะปกป้องเธอ นางเอกกับพ่อต้องเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ โดยปัจจุบันนางเอกชื่อว่าฮีทเทอร์ วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 18 ของเธอพอดี พ่อจึงให้ของขวัญเป็นเสื้อกั๊กตัวหนึ่ง นางเอกก็อึ้งไป(อันนี้เราสงสัยว่าที่อึ้งนี่เพราะว่าเห็นเป็นชุดเดียวกับในฝัน หรืออึ้งที่เป็นเสื้อที่อยากได้จริงๆอย่างที่มันบอกกันแน่?) แต่ก็สวมเสื้อนั่นไปเรียนตามปกติ ระหว่างทางนางเอกเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามจะเข้ามาคุยกับเธอให้ได้ นางเอกเห็นลางไม่ดีก็รีบหนีเข้าห้องเรียนไป
    เพราะนางเอกย้ายเมืองบ่อยจึงไม่ค่อยแคร์ว่าเพื่อนร่วมห้องจะปฏิบัติกับเธอเช่นไร  มีเพียงวินเซนต์ ชายหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาเช่นกันที่เข้ามาคุยกับเธอ นางเอกพอออกมาจะกลับบ้านก็เจอกับชายที่เจอตอนเช้าอีก เลยโทรไปบอกพ่อให้มารับที และนัดเจอกันที่ห้างใกล้ๆบ้าน 
    พ่อนางเอกยืนนึกเรื่องแม่นางเอกที่เคยหายไปใน silent hill เหมือนกัน ตรงนี้จะโยงจากภาคแรก คือแม่นางเอกหายไปจนปลงละ แต่วันนึงก็ได้คุยกันผ่านทางกระจก แล้วจู่ๆนางเอกก็กลับมา โดยที่แม่นางเอกก็กำชับไว้ว่าอย่าให้ลูกไปเกี่ยวข้องกับ sh. นะ แล้วนางเอกก็โทรมาพอดี พ่อนางเอกพอคุยโทรศัพท์เสร็จก็จะรีบออกจากบ้าน แต่ประตูหน้ากลับเหมือนมีใครพยายามจะเปิด เลยหนีไปทางประตูหลัง แต่พอเปิดประตูหลังปั๊บ...ฟึ่บ...
     ตัดมาที่นางเอก เธอเริ่มเห็นภาพรอบตัวเปลี่ยนไป เป็นแบบน่ากลัว มีปีศาจเต็มไปหมด แล้วก็เจอผู้ชายคนเดิม เลยหนีเข้าไปในบ้านผีสิง(หา?) แต่สุดท้ายก็ได้คุยกัน คือผู้ชายคนนี้เป็นนักสืบและพยายามจะถามว่าพ่อเธอหนีมาใช่มั้ย แต่ก่อนจะคุยกันรู้เรื่อง เขาก็ถูกฆ่าตายโดยปีศาจ ที่นางเอกไม่เคยเห็นมาก่อน กลายเป็นว่านางเอกพอหนีออกมาได้ ก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมนักสืบคนนั้นไปซะงั้น (เวรจริงๆ จะให้ไปบอกตำรวจว่าปีศาจฆ่าก็คงจะเชื่ออยู่ล่ะนะ)
     เธอเจอกับวินเซนต์ระหว่างนั้น และเขาตามมาส่งเธอที่บ้าน แต่เมื่อกลับมาถึงเธอก็พบข้อความบนผนังที่บอกให้เธอกลับไปที่ sh. และพ่อของเธอก็หายไปด้วย ระหว่างนั้นตำรวจก็มา เธอจึงขอให้วินเซนต์ขับรถพาเธอหนีไปที
     ทั้งสองขับรถไปไกลและหยุดพักที่โรงแรม วินเซนต์พยายามหว่านล้อมไม่ให้เธอกลับไป sh. แต่นางเอกก็ยังยืนยันที่จะไป วินเซนต์เลยบอกความจริงว่า จริงๆแล้วเขาเป็นลูกชายของผู้นำลัทธิที่ถูกส่งมาเพื่อพาตัวนางเอกกลับไป เขาถูกสอนมาตลอดว่านางเอกเป็นนางปีศาจ แต่เมื่อเขาได้พบกับเธอจริงๆ เขากลับตกหลุมรักเธอ และรับรู้ได้ว่าที่เขาถูกสอนมาทั้งหมดไม่เป็นจริง แม่ของเขาแค่ต้องการตัวนางเอกไปเพื่อให้พิธีทำลายอเลซซ่าสมบูรณ์ก็เท่านั้น แต่พอพระเอกพูดจบเขาก็ถูกจับตัวไป นางเอกสลบ พอตื่นมาอีกที เธอก็พบว่าตัวเธอได้เข้ามาอยู่ใน sh.ซะแล้ว 

(ยังไม่จบต่อพรุ่งนี้ค่ะ เจ้าของบล็อกง่วง) 

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฉันผู้หวาดกลัวความผิดหวัง...

ฉันจำได้นะ....

ว่าเคยให้ความสำคัญกับของทุกอย่างรอบๆตัว...

เป็นมนุษย์ธรรมดาที่รัก...ก็รักเต็มที่...
 
เกลียด...ก็หันหน้าหนี...ไม่ก็ทำลายสิ่งนั้นๆ...

แต่ยิ่งโตขึ้น...ยิ่งนานวัน...

รอบๆตัวสอนให้ฉันรู้ว่า...

การรักใครสักคนมากๆ...เวลาเจ็บ...

จะเจ็บเจียนตาย...

ราวกับคนโง่...ที่สูญเสียเหตุผลไปจนหมด...

ฉันไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนั้น...

ต่อมาทุกวัน...จึงหมั่นสร้างกำแพง...

หนาขึ้นทีละนิดละนิด...

รู้ตัวอีกที...ฉันก็ไม่สามารถรักใครได้เต็มหัวใจอีกแล้ว...

ในความรักของฉัน...จะปนด้วยความหวาดระแวง...

และกังวลอยู่เสมอว่าสักวันคนรักจะจากไป...

และนอกจากนั้น...

ฉันยังกลายเป็นคนเฉยชาที่ไม่รู้สึกเต็มที่กับเรื่องใดๆ...

เรื่องที่ควรหัวเราะ...ก็ไม่รู้สึกอยากหัวเราะ...

เรื่องที่ควรจะร้องให้...ก็ไม่รู้สึกอยากร้องให้...

บางครั้งฉันจึงต้องแสร้งทำ...เหมือนหุ่นยนต์ที่โดนโปรแกรมเอาไว้...

ผลคือ...ฉันไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้มากยิ่งกว่า...

แต่ฉันกลับไปเป็นคนเดิมไม่ได้...ไม่ได้อีกแล้ว...

ตอนนี้ฉันจึงไม่รู้ว่า..."ตัวของตัวเอง"...เป็นแบบไหน...

บางทีอาจจะนิยามว่า...หุ่นกระบอก...ที่ไม่มีอารมณ์ก็คงได้....

ฉันไม่รู้ว่าจากวันนี้จะไว้ใจใครได้อีกหรือเปล่า...

หรือว่า...

ฉันจะเป็นหุ่นตัวเดิมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆกันนะ...

อีกนานไหม...

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

สปอยจัดหนัก!!แบบไม่กั๊กซักมิลล์!! (It gets better ไม่ได้ขอให้มารัก)


เมื่อวานมีโอกาสได้ไปดูหนังเรื่องนึงมาที่โรงประจำ ณ ขณะนี้ก็คือ เมเจอร์ซีนีเพล็ก เชียงใหม่ ซึ่งรวมๆแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่เชียงใหม่ก็หมดค่าดูหนังไปเกือบๆพันแล้ว (หรือถ้ารวมค่าป็อปคอนและน้ำก็เกินไปเรียบร้อย -*-) สนุกบ้างไม่สนุกบ้างสลับกันไป แต่มีไม่กี่เรื่องหรอกนะคะที่ดูแล้วมันติดอยู่ในใจจนคันไม้คันมืออยากจะระบายออกมาเป็นตัวอักษร (ไม่บ่อยจริงๆนะ) เอาล่ะค่ะ หลังจากบ่นเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ เรามาพูดถึงหนังกันบ้างดีกว่า อ๊ะ!! แต่บอกไว้ตรงนี้ก่อนนะคะว่าตั้งแต่ย่อหน้าถัดไป เราจะสปอยกันแบบเปิดเผยไม่ปิดบัง ใครที่ยังไม่ได้เสียเงินเข้าโรงไปดูก็โปรดระวังสายตาตัวเองเอาไว้ให้ดี กดปิดหน้านี้ไปยังทันนะคะ ^ ^

"It gets better" หรือชื่อในภาษาไทยว่า "ไม่ได้ขอให้มารัก" เป็นหนังที่หยิบประเด็นในเรื่องของเพศที่สาม มาเป็นฐานในการดำเนินเรื่อง จากตัวอย่างภาพยนต์นั้น ก็อาจจะบอกกับผู้ชมได้ชัดเจนอยู่แล้วในระดับหนึ่งว่า หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และใครเป็นคู่ใคร...เรื่องอะไรที่เกิดขึ้น...
จากตัวอย่างเราจะเห็นถึงคู่ที่ถูกวางมาสามคู่ด้วยกัน คู่แรก:สายธาร กระเทยแปลงเพศรุ่นปลดระวางที่พาตัวเองเดินทางไปยังชนบทห่างไกลทางภาคเหนือโดยมีจุดประสงค์บางอย่าง ระหว่างนั้นเธอก็ได้รู้จักกับไฟ เด็กหนุ่มติดดินที่ทำทุกเรื่องเสมือนว่าง่ายและเขาก็เข้าใจมันไปซะหมด คู่ที่สอง:ต้นไม้ ชายหนุ่มหัวนอกจากอเมริกาผู้เดินทางกลับมาเพื่อปิดบาร์กระเทย มรดกจากพ่อผู้ล่วงลับและหวังจะเดินทางกลับไปง่ายๆพร้อมเงินจากการขายบาร์นี้ แต่กลับถูกต้นหลิว กระเทยสาวหล่อ(?) ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถของบาร์สอนชีวิตในอีกด้านหนึ่งให้เขาได้รู้จัก คู่ที่สาม:ดิน เด็กหนุ่มที่ถูกพ่อพาไปบวช ด้วยหวังว่าร่มกาสาวพัสตร์จะช่วยทำให้ความเป็นหญิงในจิตใจของลูกชายเสื่อมคลายลง แต่กลับตรงข้าม พระพี่เลี้ยงที่ดินได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยกลับทำให้จิตใจของเขายิ่งสั่นคลอน ภายใต้ผ้าเหลืองที่เขาต้องรักษากิริยาและวาจาไว้ให้มั่น...

จากนี้เราจะมาเล่าถึงแต่ละคู่ รวมทั้งใส่แนวคิดของผู้เขียนสอดแทรกลงในเนื้อความด้วยอีกต่อหนึ่ง

คู่ดินและพระพี่เลี้ยง:ตอนแรกผู้เขียนแอบออกจะรำคาญบทตัวดินไปสักหน่อย ด้วยพอเห็นการกระทำแล้วมักจะหลุดคำพูดประเภท "อินี่.." "สลิด.." "แร_" ออกมาตลอด แต่พอดูไปดูมาก็เริ่มเข้าใจว่า ดิน เป็นตัวสะท้อนของวัยรุ่นเพศนี้ทั่วๆไปที่ยังไม่รู้จักถึงการวางตัวที่เหมาะสม คิดอะไรก็พูด อยากอะไรก็ทำ เช่นตอนที่ดินตักกับข้าวให้หลวงพี่กลางวงฉันท์ข้าว ทำเอาญาติโยมหัวร่อซุบซิบกันทั่วศาลา จนพระพี่เลี้ยงต้องเตือนว่าไม่ควรทำ มันไม่เหมาะ แต่ดินเองก็เถียงกลับมาว่า เพราะอะไรตนถึงทำไม่ได้ ทีเวลาอยู่กับพ่อตนกินอะไรอร่อยๆก็ตักให้พ่อตลอด ตรงนี้ผู้เขียนเองก็เกิดความคิดว่า ไอ้การตักกับข้าวให้กับคนที่เรารักหรือญาติผู้ใหญ่ มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดจริงๆ แต่พอมาเป็นภิกษุ การสำรวมวาจาและกิริยาจึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ใครที่หวังจะมาตักตวงฉากประเภทผิดศีลธรรมจากตอนนี้ ขอบอกว่าไม่มีให้ดูหรอกค่ะ ตัวละครทั้งสองต่างรักษาหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี (แม้ดินจะชอบผิดกฎมุดไปนอนมุ้งเดียวกับหลวงพี่บ่อยๆ) ในตอนนี้สื่อให้เห็นถึงความกดดันในตัวละครค่ะ อันที่จริงดูแล้วดินก็ไม่ได้จะรักใคร่อะไรในตัวหลวงพี่มากมาย แต่เพียงเหมือนกับว่าหาที่พึ่งพิงทางจิตใจในขณะที่ต้องห่างพ่อ ส่วนตัวหลวงพี่เองจากการสื่อของหนังก็น่าจะมีเหตุผลเเบบเดียวกับดินจึงตัดสินใจมาบวช (ก็คือรักชอบในเพศเดียวกัน พอดินมุดมุ้งมานอนข้างๆบ่อยๆ ศีลที่รักษามาตลอดมันก็เลยสั่นไหวจนจิตใจไม่สงบ) ประโยคเด็ดของตอนนี้คือสิ่งที่หลวงพี่พูดค่ะ "คนเราบางทีก็ต้องยอมหักห้ามใจทำในสิ่งที่คนอื่นหวัง แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่ขัดกับใจเรา ถ้าหากสิ่งนั้นทำให้คนที่เรารักสบายใจ" นั่นคือความจริงค่ะ และคงเป็นเหตุผลที่เกย์เพิ่มมากขึ้นในสังคมเรื่อยๆ เพราะการเปิดเผยตัวแบบเต็มรูปแบบเป็นอะไรที่คนเหล่านี้กลัวว่าจะไปทำให้คนที่รักเสียใจนั่นเอง(ล่ะมั้ง) และถึงดินจะเป็นเณรที่ออกจะผิดร่องผิดรอยไปหน่อย แต่สิ่งที่ดินมีอยู่เต็มหัวใจนั่นก็คือความรักที่มีให้พ่อนั่นเอง...

คู่สายธารและไฟ:สายธารเป็นตัวสะท้อนภาพของกระเทยวัยกลางคนที่เจนจัดกับชีวิตมามาก ความกังวลกับริ้วรอยและความสวยของตัวเองเป็นเรื่องหลัก ทั้งการแต่งตัวและความมั่นใจยังได้รับรูปแบบมาจากสังคมเมืองเต็มๆ การที่เธอพาตัวเองมาเฉิดฉายอยู่ ณ หมู่บ้านห่างไกลผู้ความเจรฺิญเช่นนี้ เธอจึงกลายเป็น "object" ที่ขัดกับ "background" อย่างชัดเจน และความเด่นและทำตัวผิดปกติของเธอทำให้ไฟได้เข้ามาในชีวิต สายธารกับไฟมีความสัมพันธ์กันโดยที่ไฟเองก็รับรู้ว่าเธอเคยเป็นผู้ชาย ปั้นจั่นที่รับบทนี้แสดงความเป็นไฟออกมาได้ดีทีเดียว ผู้ชายติดดินที่มีนิสัยหยาบๆ แต่ก็แฝงด้วยความมีน้ำใจ ความอบอุ่น และความสุภาพไว้อย่างล้นเอ่อ...ไม่ใช่แค่เปลือกนอกอย่างที่ผู้ชายบางคนพยายามจะเป็น เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและแฝงความจริงไว้พอสมควร และสอนให้คนดูรู้ว่า บางทีความต้องการที่แท้จริงของมนุษย์อาจไม่ใช่เงินทองหรือเซ็กส์...แต่มันคือความเข้าใจและใครสักคนที่ยืนอยู่เคียงข้างมากกว่า...

คู่ต้นไม้และต้นหลิว:ต้นไม้เป็นชายหนุ่มหัวนอกเต็มตัวที่กลับมาไทยเพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ ปิดบาร์กระเทยที่เป็นมรดกจากพ่อที่เสียไปแล้วเดินทางกลับประเทศ ต้นไม้ก็เหมือนผู้ชายแท้ทั่วๆไปที่ชอบผู้หญิง และสิ่งสวยงาม ในตอนที่มาถึงเขาจึงมีท่าทีที่ม่อยากจะสุงสิงกับเหล่าบรรดาน้าๆสาวประเภทสองในบาร์ของพ่อนัก คงจะมีก็แต่ ต้นหลิว กระเทยที่มีท่าทีเป็นทอม(?) ซึ่งติดจะนิสัยออกห้าวๆที่เขาสามารถคุยเรื่องต่างๆได้ อย่างรู้สึกว่าเป็นเพื่อน แต่ที่จริงแล้วต้นหลิวเองก็แอบให้ความรู้สึกดีๆกับต้นไม้อยู่โดยที่ต้นไม้ไม่รู้ ต้นไม้ออกจะมีนิสัยเป็นผู้ชายที่โลเลและการตัดสินใจไม่มั่นคงอยู่สัักหน่อย และยังพร้อมจะเผลอใจให้กับของสวยๆงามๆได้เสมอ เช่นการที่เขาเกือบจะยอมลองคบหาดูใกล้ๆกับ ดอกไม้ กระเทยสาวสวยในบาร์ แต่ความเป็นชายก็ผลักออกมาจากจุดนั้นเสียก่อน นี่คงเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ต้นหลิวเข้าใจผิดว่าต้นไม้ อาจจะยอมรับเธอในแบบที่เป็นเธอได้ คืนนั้นด้วยความเมาทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน โดยที่พอตื่นมาและต้นไม้พบว่ามีต้นหลิวนอนอยู่ข้างๆ แถมต้นหลิวยังคงมีสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นชายอยู่ ต้นไม้จึงสติแตกไล่ตะเพิดต้นหลิวออกจากห้องทันที ตรงนี้มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากๆ เป็นฉากที่ต้นหลิวพูดกับต้นไม้ก่อนออกจากห้อง // ต้นหลิว:ลองหยิกตัวเองดู ต้นไม้:หยิกทำไม? ต้นหลิว:เออน่า ลองหยิกดู ต้นไม้:(หยิกตัวเอง) ต้นหลิว:เจ็บมั้ย? ต้นไม้:ถามได้!!ก็เจ็บดิ ต้นหลิว:เออ เราก็เจ็บ...// ฉากนี้แสดงให้เห็นชัดๆถึงความรู้สึกของต้นหลิวที่เพิ่งจะเข้าใจว่าคำว่า"รู้สึกดี"ตอนจูบที่ต้นไม้พูดกับเธอเมื่อคืน...มันไม่ใช่ความรู้สึกดีที่ออกมาจากใจจริงๆ...ทั้งหมดเธอแค่คิดไปเอง สุดท้ายต้นไม้ก็เลือกที่จะขายบาร์ และยอมรับคำขอของผู้จัดการที่ขอให้เขาขึ้นไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย...นี่เองคือจุดพีคของเรื่อง ที่เรียกน้ำตาคนดู...รวมถึงเรียกเสียง"อ๋อ..อ้อ.."จากคนดูได้ดีทีเดียว เพราะรูปในกรอบที่ต้นไม้เห็นก็คือภาพของสายธาร...


เรื่องเฉลยว่า จริงๆแล้วช่วงชีวิตที่เห็นทั้งหมดคือการเดินทางผ่านเวลาของสายธารนั่นเอง เธอบวชให้พ่อในตอนเด็กและหายออกจากบ้านไปเมื่อแต่งงานในตอนโต แต่ก็ถูกภรรยาเห็นเข้าตอนที่กลายเป็นผู้หญิง สายธารให้ผู้เป็นภรรยาอุ้มท้องต้นไม้บินไปอยู่ที่อเมริกาโดยกำชับให้ปกปิดว่าเธอเป็นอะไร ขณะเดียวกันก็ส่งเสียเลี้ยงดูและติดตามความเป็นไปของต้นไม้โดยตลอด เพราะอย่างไรต้นไม้ก็คือ"ลูกที่เขารัก"นั่นเอง สายธารเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านเกิดเพื่อต้องการจะรู้ความเป็นอยู่ของพ่อ หรือที่ไฟเรียกว่าตาไม้...ตาแก่ที่เปิดร้านขายของชำเล็กๆโดยใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการนั่งมองดูภาพลูกชาย และภรรยาบนข้างฝาบ้าน ขึ้นชื่อว่าพ่อ...อย่างไรก็จำลูกได้ เพียงแต่ตาไม้ไม่ได้พูดออกมา เขารู้มาตลอดว่าสายธารกลับมาหา แต่ก็เพียงได้แค่เรียกชื่อและโอบร่างอ่อนระทวยของลูกไว้ในอ้อมแขนในวาระสุดท้ายของชีวิต...และในครั้งแรกหลังจากเนิ่นนานที่ได้เห็นหน้าลูก...หนังกำลังสอนว่าเวลาเป็นสิ่งสำคัญ...ทุกอย่างไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ความรักไม่ใช่สิ่งที่ต้องปิดบัง...บางทีการบอกรักคนที่เรารักทุกวัน อาจทำให้เราไม่ต้องเสียใจภายหลังเมื่อเสียเขาไปตลอดกาล

หนังเรื่องนี้เป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งที่ควรดู แต่ข้อเสียอาจอยู่ที่การลำดับภาพที่ไม่ได้เล่าทีละเรื่องอย่างที่ผู้เขียนทำ แต่จะใช้ศิลปะการกระโดดไปมาของภาพ ใช้ภาพความคิดที่ไม่ทราบว่าเป็นของใคร ใช้การซ้อนทับของอดีตหลอกลวงให้ผู้ชมหลงนึกว่ากำลังชมเรื่องของคนสามคู่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เป็นหนังที่ไม่ได้เป็นอาหารสำเร็จรูป...แต่เป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป ที่คนดูต้องนำมาทำขั้นตอนต่อไปเองเพื่อให้ความคิดออกมาสมบูรณ์ ดังนั้นความคิดของแต่ละคนต่อหนังจึงอาจไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ที่ไม่นิยมเสพความวุ่นวายของระบบคิดสมอง...ผู้เขียนแนะนำว่าคงไม่เหมาะกับเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ถ้าอยากดูหนังที่ต้องใช้หัวคิดสักนิด แต่สนุกจนติดค้างอยู่ในใจ ก็แนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ "It gets better ไม่ได้ขอให้มารัก" หนังรักกลิ่นอายลาเวนเดอร์ที่พอดูจบแล้ว จะรู้สึก"ถึงไม่ได้ขอให้มารัก ก็จะรัก..." เลยล่ะค่ะ... ^ ^ 


ปล.แอบคอมเมนต์นิดนึงนะคะว่าอย่าโดนโปสเตอร์หนังหลอก เรื่องมันไม่ได้สดใสแบบที่โปสเตอร์สื่อ แถมดาราบางคนยังมีบทน้อยซะยิ่งกว่าตัวประกอบอีก ดูที่เรื่องเถอะค่ะ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คิดถึงบ้านจัง..




นี่คือสภาพเตียงนอนที่นอนอยู่ทุกวันนี้ค่ะ...555...

พอกลายเป็นเด็กหอแล้วทุกที่ก็เต็มไปด้วยของไปหมด...

ก็พื้นที่มันน้อยนี่เนอะ ^ ^...

กองหนังสือข้างๆนั่นมีแต่หนังสืออ่านเล่นทั้งนั้นเลย...

แล้วจะเห็นกระจุกหูฟังพันๆอยู่ข้างๆ...ยาดม สายที่ชาร์ต...

เป็นผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อยเอาซะเลย...แหะๆ ^ ^....

น้องหมีที่ซื้อมาเองก็ตัวเล็กซะจนกอดไม่ได้...เอาไว้ประดับอย่างเดียว...

แต่ชีวิตในหอก็สนุกนะคะ...

พอเป็นเด็กหอแล้วถึงได้รู้ว่ามันมีอะไรให้ทำเยอะแยะนอกจากแค่นอน กินข้าว กับไปรร.

หาข้าวกินเอง ซักผ้าเอง ไปไหนเองหมดเลย...

รู้สึกว่าเหนื่อยจัง...แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอก...

กำลังคิดว่าคนที่คอยดูแลเรื่องพวกนี้ให้เรามาตลอดหลายปีเค้าทนได้ยังไงนะ...

ไม่เคยขี้เกียจทำซักครั้ง...ถึงจะโดนบ่นบ้างก็เถอะ...

ที่เราทำทุกอย่างเองตอนนี้เพราะเรารักตัวเอง...

ก็แสดงว่าคนที่ทำให้เรามาได้ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา...ต้องรักเรามากแน่ๆ...

มีคนที่รักเราขนาดนี้ มันน่าดีใจนะคะ...

แต่ที่น่าดีใจกว่า...คือมีคนให้เรารัก...

...ไม่ใช่เพราะควรรัก...แต่รักด้วยความรู้สึก...

ด้วยหัวใจ...

แด่คนที่มีความรักทุกคนค่ะ...


(ปล.ใกล้จะสอบเสร็จแล้ว จะได้กลับบ้านไปหาคนที่เรารักซะที คิดถึงจะแย่แล้ว อยากกินข้าวที่บ้านด้วย...555...พอคิดอย่างนี้ก็มีความสุขดีนะคะ ^ ^ )







วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

I MISS YOU

ฉันกับเธอ...

เราเคยเดินจับมือข้ามวันเวลา...

หัวเราะ...ร้องให้...

สุข...เศร้า...ก็มีแค่เราที่ไม่เคยไปไหน...

เธออยู่ตรงนั้น...ฉันอยู่ตรงนี้...

จับมือกันไว้ระหว่างกลาง...อย่างมั่นคง....

จนถึงตอนนี้...

เพิ่งมานึกขึ้นได้...ว่านานมาแล้วสินะ...

ที่ฉันปล่อยมือจากเธอมา...ไม่สิ...

เราเต็มใจที่จะจากกันเพื่อไปตามทางที่ตัวเองรัก...

ต่างคนต่างก็หลงลืมคนที่เคยจับมืออยู่ไปชั่วขณะ....

โลกภายนอกสนุก...แต่ขณะเดียวกันก็เดียวดาย...

เธอจึงยังอยู่ในใจฉัน...แม้จะเผลอลืมไปบ้าง...แต่ไม่ได้หายไปเลย...

วันนี้ฉันคิดถึงเธอ...เหม่อมองท้องฟ้ากว้างๆ...

เราห่างกันหลายพันกิโลเมตร...

แม้แต่อากาศที่หายใจยังอยู่ต่างชั้นบรรยากาศกัน...

เธอจะคิดถึงฉันบ้างมั้ยนะ...

โลกกลม...แต่ก็กว้าง....

และมีอะไรให้เราทำมากเกินไป...

จนดูเหมือนไม่มีวันที่ฉันจะได้เดินบนทางเดียวกับเธออีกนับจากวันนั้น...

ที่พูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้มีอะไรมาก...

ก็แค่คนเหงาๆคนนึงที่นั่งเหม่อมองฟ้า...

แล้วคิดถึงคนที่เคยใกล้...

ก็เท่านั้นเอง...




วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตัวตนของแสงแดดอุ่นๆเมื่อยามบ่าย

เป็นบล็อกที่เห็นแค่ภาพลักษณ์ครั้งแรก...

ก็กระตุ้นคนอารมณ์แปรปรวนให้อยากระบายตัวหนังสือออกมาจากหัวซะจริง...

ว่าแต่ว่า...

ฉันยังไม่รู้จักเธอดีสักเท่าไรเลยนะ...

ไม่เป็นไร...

จากนี้เราจะค่อยๆทำความรู้จักกันนะ...

ทีละเล็ก...ทีละน้อย...

ฉันจะรอวันที่ได้เป็นเพื่อนสนิทกับเธอเหมือนอย่างที่ Facebook เคยทำนะ...

ฝากตัวด้วยจ้ะ ^ ^...